โรคเบาหวาน รู้ได้เร็ว รักษาได้ทันไหม
สารบัญ
โรคเบาหวาน (Diabetes) เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่อันตรายและทุกข์ทรมานต่อสุขภาพอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนไทยเสียชีวิตจากโรคเบาหวานมากถึง 200 ราย/วัน จากผลวิจัยของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในปี 2562 พบว่าวัยผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมากถึง 4.8 ล้านคน อีกทั้งเมื่อคนเราอายุเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานมากขึ้นด้วย หากทุกวันนี้เรายังคงรับประทานอาหารและใช้ชีวิตไม่ระมัดระวัง อาจทำให้ร่างกายเกิดการสะสมน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานและปัญหาสุขภาพในอนาคต
ชนิดของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานมีหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งวิธีการรักษาโรคเบาหวานแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าโรคเบาหวานเกิดกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือคนไม่ออกกำลังกาย แต่จริง ๆ แล้ว บางคนก็เป็นเบาหวานตั้งแต่วัยเด็กได้เช่นกัน โดยประเภทของโรคเบาหวานที่พบบ่อยสุด แบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือ ชนิดพึ่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin Dependent DiabetesMellitus, IDDM)
บางครั้งเรียกว่า “เบาหวานในเด็ก” มักเกิดในเด็กหรือวัยรุ่น หรือผู้มีอายุน้อยกว่า 30 ปี โดยตรวจพบร้อยละ 3.4 สาเหตุหลักเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ จึงต้องเป็นรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกาย
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (Non- Insulin Dependent DiabetesMellitus, NIDDM)
หรือบางครั้งเรียกว่า “เบาหวานในผู้ใหญ่” มักเกิดในผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โรคอ้วน การไม่ออกกำลังกาย ตรวจพบร้อยละ 95-97 โรคเบาหวานชนิดนี้ ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินได้เล็กน้อย ในการรักษาระยะแรกจะเริ่มต้นด้วยการควบคุมอาหารหรือยาเม็ดลดระดับน้ำตาล บางรายอาจเบต้าเซลล์ของตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเสื่อม จึงทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี
3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus)
มักเกิดในคนที่ไม่มีประวัติการเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ซึ่งตรวจพบช่วงขณะตั้งครรภ์ ทำการรักษาด้วยการฉีดยา หรือการควบคุมอาหารขณะตั้งครรภ์ สาเหตุเกิดจากรกสร้างฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตของทารก จึงส่งผลให้อินซูลินลดลง เกิดภาวะ insulin resistance ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง แต่เมื่อคลอดแล้วจะหายเป็นปกติ
4. โรคเบาหวานชนิดอื่น
หรือ โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมน โรคของตับอ่อน การใช้ยาหรือสารเคมี
สาเหตุของโรคเบาหวาน
1. กรรมพันธุ์
โรคเบาหวานเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ซึ่งพบว่าลูกที่มีพ่อแม่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานถึง 60% แต่หากพ่อหรือแม่เป็นโรคเบาหวานเพียงคนเดียว ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพียง 30%
2. พฤติกรรมเสพสุรา
มีผลทำให้ตับแข็ง หรือเกิดภาวะตับอ่อนอักเสบ ซึ่งตับอ่อนจะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน จึงส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานได้
3. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนปกติถึง 60-80% ซึ่งปัจจัยสำคัญ คือ แป้ง น้ำตาล ไขมัน รวมทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ดที่อุดมด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรต
4. ความเครียด
โดยเฉพาะความเครียดที่สะสมยาวนาน ส่งผลให้ตับอ่อนสังเคราะห์และหลั่งอินซูลินได้น้อยลง อีกทั้งเวลาเราเครียดร่างกายก็ยิ่งต้องการความหวาน เลยเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น
5. อายุ
โรคเบาหวานมักพบในผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 100 mg/dL
6. โรคติดเชื้อ
โดยเฉพาะการติดเชื้อจากการผ่าตัดต่าง ๆ ส่งผลให้ตับอ่อนถูกทำลาย เมื่อตับอ่อนถูกทำลาย ก็ทำให้อินซูลินหลั่งน้อยลง
7. การตั้งครรภ์
โดยเฉพาะในกลุ่มมารดาที่มีการตั้งครรภ์หลาย ๆ ครั้ง หรือผู้ที่มียีนส์เบาหวานอยู่ในร่างกายจำนวนมาก จะมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ผู้ตั้งครรภ์จึงต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใก้ลชิด
8. ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา
โดยเฉพาะผู้ใช้ยารักษาโรคเบาหวานชนิด Metformin ซึ่งเป็นยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ซึ่งเราสามารถลดภาวะแทรกซ้อนและสามารถป้องกันได้ โดยการรับยาและปรับยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น
9. การใช้ยาบางชนิด
อาจขัดขวางการทำงานของอินซูลิน เช่น ยาขับปัสสาวะบางชนิด ยาต้านอาการชัก ยาจิตเวช ยาต้านไวรัส HIV ยาเพนทามิดีน (Pentamidine)
สัญญานเตือนและอาการของโรคเบาหวาน
สำหรับบางรายอาการของโรคเบาหวานจะขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งแต่ละบุคคลจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป เช่น
1. ปัสสาวะบ่อย
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไตจะพยายามขจัดของเสียและของเหลวส่วนเกินออกจากเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุนำไปสู่การปัสสาวะบ่อยขึ้นในเวลากลางคืน ซึ่งโดยทั่วไปคนเราจะปัสสาวะประมาณ 4-7 ครั้ง/24 ชั่วโมง แต่คนที่เป็นเบาหวานอาจจะฉี่มากกว่านั้น
2. คอแห้ง กระหายน้ำบ่อย
เป็นกระบวนการกำจัดน้ำตาลส่วนเกินออกจากเลือด ซึ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเพิ่มเติม เมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำและกระหายน้ำมากกว่าปกติ
3. หิวบ่อย กินจุกว่าเดิม
แต่มักผอมลง เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวานมักได้รับพลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากฮอร์โมนอินซูลินทำงานผิดปกติ อินซูลินไม่สามารถนำเอาน้ำตาลกลูโคสไปส่งให้อวัยวะต่าง ๆ ได้ ทำให้เซลล์ไม่ได้รับพลังงาน ส่งผลให้หิวบ่อยนั่นเอง
4. อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง
น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายจึงอ่อนเพลียและแขนขาไม่มีแรง
5. สายตาพล่ามัว
มองไม่ชัด เห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน บางครั้งอาจเกิดขึ้นจากการความดันไม่คงที่และไขมันในเลือดสูง หรือเกิดจากการเปลี่ยนระดับของเหลวในร่างกาย ทำให้เลนส์ในดวงตาบวมขึ้น จึงไม่สามารถโฟกัสภาพชัดเจน
6. เป็นแผล แต่หายช้ากว่าปกติ
เนื่องจากหลอดเลือดแดงเกิดการอุดตัน ร่างกายจึงไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะบริเวณส่วนปลายแผลได้
7. ผิวหนังแห้ง ปากแห้งและคันตามผิวหนัง
โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ เนื่องจากร่างกายปัสสาวะบ่อยมากกว่าปกติ จึงทำให้ร่างกายขาดน้ำ จึงส่งผลให้ปากแห้ง ผิวหนังแห้งและคันตามผิวหนัง
8. ประสาทบริเวณปลายมือ และปลายเท้าชา
ทำให้รู้สึกชาบริเวณปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ซึ่งเกิดจากเส้นประสาทส่วนปลายที่ควบคุมการทำงานของมือและเท้าเกิดความเสียหาย ส่งผลให้สูญเสียการควบคุมบริเวณปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า
9. เป็นแผลง่าย รักษาหายยาก
เนื่องจากไขมันที่ไม่ย่อยสลายไปจับกับเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดเล็กลงหรือตีบตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงแผลไม่ได้ จึงทำให้แผลหายช้า รักษายากขึ้น
10. คลอดบุตรที่มีน้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัม
ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคลอดปกติ ซึ่งอันตรายต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
11. ไม่มีความรู้สึกทางเพศ
ซึ่งพบในเพศชาย 30% และเพศหญิง 40% ซึ่งเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดลดลง เลือดจึงไม่สามารถเวียนเวียนไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ตามปกติ จึงส่งผลให้หมดความรู้สึกทางเพศ
การป้องกันภาวะผิดปกติของโรคเบาหวาน
1. การควบคุมน้ำหนัก
การลดน้ำหนักช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ซึ่งเราสามารถชะลอการเป็นโรคเบาหวานได้ด้วยการลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัว เพื่อรักษาประคับประคองไม่ให้ระยะของโรคลุกลาม
2. ปฏิบัติตามแผนการรับประทานอาหาร
เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง สิ่งสำคัญคือต้องลดปริมาณแคลอรีจากอาหารที่กินและดื่มในแต่ละวัน เพื่อให้สามารถลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
3. ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายประเภท
จากอาหารแต่ละหมู่ รวมทั้งธัญพืชเต็มเมล็ด ผลไม้ และผักให้มาก ๆ และควรจำกัดเนื้อแดงและหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปทุกชนิด
4. มีแผนการออกกำลังกาย
อย่างน้อย 30 นาที 5 วัน/1 สัปดาห์ ซึ่งช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และหากมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำให้ดื่มน้ำผลไม้ นม หรือลูกอมทันที
5. ห้ามสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่อาจทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน อีกทั้งทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เพราะควันของบุหรี่ขัดขวางการผลิตอินซูลินในร่างกาย โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสเสี่ยงเป็นเบาหวานถึง 22% เลยทีเดียว อีกทั้งบทความ 10 วิธีเอาชนะ อาการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นวิธีป้องกันเบาหวานได้เช่นกัน
ใครไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน ไม่อยากทุกข์ทรมานกินยาตลอดชีวิต เพียงแค่รู้เร็ว ป้องกันเร็ว ก็ช่วยให้เราหาแนวทางป้องกันตนเองไม่ให้เสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ และหากใครเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เพียงแค่รักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ด้วยตัวช่วยที่เราแนะนำในวันนี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร ย้อนวัยระดับเซล์ “Celvita” อาหารเสริมชะลอวัย ที่สามารถช่วยเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดได้ นวัตกรรมชะลอวัย ที่พิสูจน์ได้ในระดับเซลล์ พัฒนาต่อยอดจากศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ก็จะเป็นอีกตัวช่วยสุขภาพดี ๆ ที่ช่วยรักษาสมดุลให้ชีวิตสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้เช่นกัน
