ฉีดโบท็อกซ์ตรงไหนได้บ้าง ปัญหาความงามฉีดได้ด้วยโบท็อกซ์
ฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีแก้ปัญหาริ้วรอยและปรับผิวให้เรียบเนียน การฉีดโบท็อกซ์เป็นการเสริมความงามที่ไม่ผ่านการศัลยกรรมที่ทำบ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกาและนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ไม่ทำให้เจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น เพียงแค่ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารเติมเต็มลงไปในบริเวณที่ต้องการฉีด จะทำให้ผิวเต่งตึง ไม่เกิดความเจ็บปวด ไม่ต้องรักษาตัว เหมาะสำหรับเติมเต็มใบหน้ามีริ้วรอย ใบหน้าผิดรูป จมูกไม่คมชัด ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ นอกจากนี้ โบท็อกซ์ยังช่วยแก้ปัญหาความงามด้านอื่น ๆ ได้ด้วย แล้วโบท็อกซ์นั้นฉีดตรงไหนได้บ้าง วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโบท็อกซ์ให้มากขึ้นกันเถอะ
การฉีดโบท็อกซ์คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox) หรือโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum toxin A) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ซึ่งถูกนำมาใช้ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อรักษาสภาพของกล้ามเนื้อและอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ เช่น ไมเกรน เหงื่อออกมากเกินไป และรักษาความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ จนพัฒนามาเป็นการฉีดโบท็อกซ์เพื่อรักษาความงามในปัจจุบัน
การฉีดโบท็อกซ์ฉีดตรงไหนได้บ้าง
1. หน้าผาก
เป็นจุดที่เกิดริ้วรอยเด่นชัดที่สุดเพราะการแสดงอารมณ์ความรู้สึกของคนเราต้องเกร็งหรือขยับกล้ามเนื้อและผิวหนังบนใบหน้า ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผากได้ง่ายยิ่งอายุมากขึ้นร่องลึกก็มากขึ้น การฉีดโบท็อกซ์บริเวณหน้าผากควรฉีดประมาณ 15 – 20 ยูนิต จะช่วยเติมเต็มผิว ทำให้ริ้วรอยจางลง ผิวมีความเรียบเนียนเต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติ การการฉีดโบท็อกหน้าผากเป็นการฉีดบริเวณใกล้กับดวงตามาก ซึ่งเส้นประสาทจะเชื่อมโยงกัน หากพลาดไปถูกเส้นเลือด อาจเกิดอันตรายต่อดวงตาได้ จึงต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านการฉีดโบท็อกหน้าผาก จะช่วยให้ปลอดภัยจากผลกระทบต่าง ๆ ได้
2. ระหว่างคิ้ว
บริเวณระหว่างคิ้วเป็นจุดที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายอีกจุดหนึ่ง หากหน้าผากย่นหรือมีริ้วรอยจะทำให้ใบหน้าดูแก่ ไม่สดใส การฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้วจะช่วยลดรอยขมวดคิ้วทำให้คิ้วดูสูงขึ้นด้วย ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ช่วยยับยั้งการหดตัวและทำให้ผิวหนังเรียบขึ้น การฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้ควรฉีดประมาณ 6-15 ยูนิตจะช่วยยับยั้งการหดตัวของผิว ทำให้ผิวตึงกระชับ ช่วยลดรอยขมวดคิ้ว ซึ่งบริเวณระหว่างคิ้วมีเส้นประสาทจำนวนมาก ถือเป็นจุดที่ยากและมีความเสี่ยง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ส่งผลให้ใบหน้าสวยสะดุดตาเช่นกัน
3. หางตา
การฉีดโบท็อกซ์หางตา จะเป็นการฉีดบริเวณหางตาที่มีมีริ้วรอยไม่พึงประสงค์ เช่น ตีนกา ซึ่งหน่วยการฉีดจะน้อยกว่าจุดอื่น ๆ โดยการฉีดโบท็อกซ์หางตาทั้งสองข้างจะฉีดประมาณ 10-15 ยูนิต โดยผลลัพธ์จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ริ้วรอยจึงจางลง จึงช่วยสร้างความเรียบเนียนผิวรอบดวงตา ทำให้ริ้วรอยรอบดวงตาลดลง รอยตีนกาต่าง ๆ จางหายไป โดยผลการศึกษาในปี 2559 ในสหรัฐอมริกา จากคนไข้ 1,362 รายที่ใช้โบท็อกซ์สำหรับลดเลือดริ้วรอยตีนกา ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานอย่างน้อย 4 เดือน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคลประกอบด้วย
4.สันจมูก
การฉีดโบท็อกซ์สันจมูกเหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการเปลี่ยนทรงจมูก ต้องการเพิ่มความโดเด่นให้ทรงจมูก หรือคนที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่มให้โครงสร้างจมูก ทำให้รูปทรงจมูกดูเด่นชัดขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม ช่วยแก้ไขปัญหาผิวบริเวณจมูกที่เผชิญปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น โดยฉีดประมาณ 4-6 ยูนิต จะช่วยให้รอยย่นตรงจมูกดีขึ้น ซึ่งผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์สันจมูกพบเจอน้อยมาก จะมีแค่รอยตึงบวมจากการฉีดแค่นิดหน่อย แล้วก็จางหายไปตามกลไกธรรมชาติ
5.ปลายจมูก หรือปีกจมูก
การฉีดโบท็อกซ์ปลายจมูกหรือปีกจมูก เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาปีกจมูกกว้างหรือรูจมูกกว้าง แล้วต้องการให้ปลายจมูกเชิด โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์เข้าที่กล้ามเนื้อบริเวณปลายจมูก หรือเรียกกันว่าDepressor septi nasi เป็นการฉีดยกปลายจมูก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ละมุน น่าเอ็นดูขึ้น สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นคนสดใสและร่าเริงได้มากทีเดียว โดยฉีดโบท็อกซ์ปลายจมูก หรือ ปีกจมูก ควรฉีดประมาณ 15 – 20 ยูนิต จะช่วยยกปลายจมูกให้คมชัดขึ้นและดูเป็นมิติมากยิ่งขึ้น ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
6. ลิฟท์กรอบหน้า
การฉีดโบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า เป็นการฉีดโบท็อกซ์บริเวณส่วนลำคอและใต้คาง ซึ่งช่วยเพิ่มมิติให้กรอบหน้าสวยคมมีเสน่ห์ ทำให้หน้าเรียว กระชับ กรอบหน้าชัดขึ้น สวยขึ้น ช่วยให้ผิวบริเวณรอบ ๆ ใบหน้ายกกระชับขึ้น ช่วยลดความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ ริ้วรอยจางลง การฉีดโบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้าควรฉีดประมาณ 30-50 ยูนิต โดยหลังการฉีดโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณส่วนคอเกิดการคลายตัว กล้ามเนื้อที่ทำหน้ายกกระชับผิวทำงานได้ทรงพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงทำให้ใบหน้ายกกระชับขึ้นนั่นเอง
7. รักแร้
การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ เป็นการแก้ไขปัญหาสำหรับคนมีกลิ่นตัวจากสาเหตุรักแร้เปียก ช่วยลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ช่วยรักษาภาวะเหงื่อออกมากเกินไป จากการศึกษาข้อมูลของ International Hyperhidrosis Society พบว่าการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ สามารถลดเหงื่อออกใต้วงแขนได้ 82–87% โดยการฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้ควรฉีดประมาณข้างละ 50-100 ยูนิต โดยหลังการฉีดโบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงการทำงานของสารสื่อประสาทบางชนิด ทำให้ต่อมเหงื่อบริเวณที่ฉีดหยุดทำงาน จึงช่วยควบคุมการขับเหงื่อในบริเวณที่ฉีดได้
8. ร่องแก้ม
การฉีดโบท็อกซ์ร่องแก้มเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความมีอายุได้ง่าย มีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวบริเวณปากบ่อย ๆ เช่น การยิ้ม การพูดเมื่ออายุเพิ่มขึ้นรอยลึกจะลึกขึ้นด้วย การฉีดโบท็อกซ์สามารถลดรอยร่องแก้มได้ด้วยการฉีดประมาณ15-20 ยูนิต โดยหลังการฉีดโบท็อกซ์จะทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยกระชับแก้มและลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ให้จางหายไปได้ แต่ไม่ควรแก้ด้วยโบท็อกซ์อย่างเดียว เพราะจะทำให้การยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติ ควรเพิ่มฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็มร่องแก้มเข้าไปด้วยเพราะจะทำให้เวลาที่เราแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
9. น่อง
การฉีดโบท็อกซ์น่องเป็นการแก้ปัญหาน่องใหญ่ ช่วยให้น่องเรียวสวยกระชับ โดยโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ยับยั้งสารสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อน่องและน่องที่มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลง การฉีดโบท็อกซ์น่องควรฉีดประมาณ 100-200 ยูนิต ก่อนการฉีดแพทย์จะประเมินน่องของคนไข้ก่อนว่า อาการน่องใหญ่เกิดจากไขมันหรือกล้ามเนื้อ เพื่อวางแผนการฉีดโบท็อกซ์น่องให้เรียวกระชับและรับกับสรีระของร่างกาย
10. ก้น หรือ บั้นท้าย
การฉีดโบท็อกซ์ก้นหรือบั้นท้าย อาจไม่ค่อยนิยมมากนักในไทย แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในต่างประเทศ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มขนาดและรูปร่างของบั้นท้ายให้ได้รูปทรงที่สวยงาม ทำให้ดูกลมและโค้ง การฉีดโบท็อกซ์ก้นหรือบั้นท้ายมีการฉีดหลายแบบด้วยกัน เช่น การยกกระชับก้นด้วย Sculptra และการยกกระชับก้นแบบบราซิลเลี่ยน (BBL) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ด้วยว่าคนไข้ต้องใช้วิธีไหนในการรักษา
การฉีดโบท็อกซ์เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมในการลดริ้วรอย ช่วยแก้ปัญหาการยกกระชับของใบหน้าและลำคอ รวมไปถึงขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย และมีบางจุดที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากมีผลข้างเคียงที่น่าเป็นห่วง ทั้งนี้ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ! ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหมให้ถี่ถ้วน และเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อความงามที่ปลอดภัยของตัวเราเองครับ