11 วิธี กินอยู่อย่างไรให้อายุยืน ห่างไกลโรคร้าย
หลายคนเชื่อว่าการมีอายุยืนมักถูกกำหนดโดยพันธุกรรม หรือบางคนก็เชื่อว่าถูกกำหนดโดยโชคชะตา แต่เราทราบหรือไม่ว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำนั้น สามารถช่วยให้อายุยืน ห่างไกลโรคร้าย และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคบางชนิดได้ โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปคินส์ (Johns Hopkins University) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา พบว่าประชากรที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดีนั้น จะมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคร้ายน้อยกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพมากถึง 80% เลยทีเดียว วันนี้เราเลยมี 11 วิธีกินอยู่อย่างไรให้อายุยืน ห่างไกลโรคร้าย สำหรับคนอยากอายุยืนมาฝากกันครับ
1. กินถั่วให้มากขึ้น
เนื่องจากถั่วเป็นแหล่งพลังงานที่ดีให้กับร่างกาย อุดมด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ทองแดง โฟเลต แมกนีเซียม ไนอาซิน วิตามินอี และวิตามินบี 6 โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นค้นพบว่า ถั่วมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ช่วยต่อต้านการอักเสบ ป้องกันโรคเบาหวาน ภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ลดระดับไขมันช่องท้อง และช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด ยังมีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่รายงานที่ระบุว่าผู้ที่บริโภคถั่วอย่างน้อย 50 กรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 39% เลยทีเดียว
2.ลองใช้ขมิ้น
ขมิ้นมีการบริโภคกันมานานนับพันปีในอินเดีย ซึ่งจัดเป็นยารักษาโรคของอินเดียโบราณที่มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย เนื่องจากขมิ้นมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่เรียกว่าเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (antioxidation) ช่วยต้านการอักเสบในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ เคอร์คูมิน (Curcumin) ยังช่วยรักษาการทำงานของสมอง หัวใจและปอด รวมทั้งช่วยป้องกันมะเร็งและโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ อีกทั้งเคยมีการทดลองใช้เคอร์คูมิน (Curcumin) ทดลองในแมลงและหนู พบว่าแมลงและหนูมีอายุขัยยาวนานขึ้น
3.จัดลำดับความสำคัญของความสุขของคุณ
โดยรายงานวิจัยหลายเล่มบ่งชี้ว่าประชากรที่มีความสุขจะมีอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 3.7% อีกทั้งมีรายงานการศึกษาหนึ่งชี้ว่าในช่วงระยะเวลาการศึกษา 5 ปี คนที่มีความสุขอาจมีชีวิตยืนยาวกว่าคนที่มีความสุขน้อยกว่าถึง 18% เนื่องจากความสุขไม่ได้ส่งผลดีต่ออารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เรามีอายุยืนขึ้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดและความวิตกกังวลเรื้อรัง โดยล่าสุดมีรายงานวิจับ พบว่าเพศหญิงที่เป็นโรคเครียดหรือวิตกกังวล จะมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือมะเร็งปอดมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า และเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเครียดกังวล หากมองหาซี่รี่ตลก มองหาเสียงหัวเราะ หรือแม่แต่การมองโลกในแง่ดี อาจจะช่วยให้ร่างกายกลับมาหลั่งสารแห่งความสุขได้อีกครั้ง
4.รับแสงอาทิตย์
มีหลักฐานบ่งชี้ว่าระดับวิตามินดีที่ดีต่อสุขภาพสามารถช่วยป้องกันโรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้ อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้ออักเสบ โรคเบาหวาน (โรคเบาหวาน รู้ได้เร็ว รักษาได้ทันไหม) ซึ่งวิตามินดีจะมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับการติดเชื้อจากไข้หวัดและ COVID-19 ได้ อีกทั้งวิตามินดี ยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยต่างประเทศหลายชิ้นงาน รายงานว่าการรับแสงแดดยามเช้าจะช่วยลดความวิตกกังวล ช่วยลดความเครียดหรือโรคซึมเศร้าได้ อีกทั้งแสงแดดยามเช้ายังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เป็นยากล่อมประสาทตามธรรมชาติ มีบทบาทในการทำงานของสมองและระบบประสาท จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและโรคความวิตกกังวล นอกจากนี้ แสงยังเพิ่มการผลิต (Cortisol) ซึ่งที่มีหน้าที่กำจัดความเครียดและสร้างพลังงานให้ร่างกาย
5. ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ
การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักทำให้ตับ หัวใจ และตับอ่อนเสื่อมประสิทธิภาพ จึงเสี่ยงในการเกิดโรคโรคตับแข็ง ตับวาย รวมทั้งมะเร็งตับ ซึ่งนำมาสู่สาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่มีข้อเสียเพียงอย่างเดียว เพราะแอลกอฮอล์ยังมีข้อดีด้วยนะ !!! ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นของต่างประเทศล้วนระบุว่า หากเราดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาฯพอเหมาะ จะเกิดผลดีทำให้การเกิดโรคต่าง ๆ ลดลง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 17-18% อาทิ การดื่มไวน์ จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะไวน์มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอล (Polyphenols) สูง ซึ่งผลจากการศึกษาในเพศชาย 29 ปี พบว่าผู้ชายที่ชอบดื่มไวน์ มีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรน้อยกว่าผู้ชายที่ชอบดื่มเบียร์หรือสุราถึง 34%
6. ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ส่งผลต่อหลอดเลือดหัวใจและปอด อีกทั้งผู้สูบบุหรี่ยังเพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งและความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย งานวิจัยในต่างประเทศชิ้นหนึ่งรายงานว่า ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ในวัย 35 ปี จะมีโอกาสที่อายุยืนขึ้นได้ถึง 8.5 ปี และในผู้ที่สูบบุหรี่ตลอดชีวิตอาจลดอายุขัยลงถึง 10 ปี และมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ถึง 3 เท่า
7. หาวิธีจัดการอารมณ์
ความโกรธ ความเครียด เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือ “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” หากเราเครียดสะสมเป็นเวลานาน ๆ ระดับ Cortisol จะสูงขึ้น ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักเกินไป ฮอร์โมนแห่งความสุขลดลง อีกทั้งการควบคุมอารมณ์ช่วยป้องกันไม่ให้ความดันโลหิตของคุณสูงขึ้น อีกทั้งคนที่มีความเครียดสะสมเป็นเวลานาน จะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีหรือมีความสุขในชีวิต ใบหน้าจะอ่อนกว่าอายุจริง และมีผลให้สามารถควบคุมอายุขัยได้อย่างชัดเจน
8. รักษาดัชนีมวลกาย (BMI)
คนที่มีสุขภาพดีและอายุยืน ส่วนใหญ่จะสามารถรักษาดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งคำนวณโดยใช้สูตรดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง (เมตร) โดยเกณฑ์การแปลค่า คือ
ผลการแปลค่า | เกณฑ์การแปลค่า |
<18.5 | ต่ำกว่าเกณฑ์ |
18.5-22.90 | ปกติสมส่วน |
23-24.90 | น้ำหนักเกิน |
25-29.90 | อ้วนระดับ 1 |
>30 | อ้วนระดับ 2 |
9. รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสม่ำเสมอ
โดยสำนักผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข ได้เปิดเผยว่า จากผลการศึกษาผู้สูงอายุชาวโอกินาวาที่อายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี ส่วนใหญ่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานตํ่า มีไขมันตํ่า มีส่วนประกอบเป็นแป้ง และนํ้าตาลน้อย โดยนิยมรับประทานอาหารที่ประกอบด้วย ผัก เต้าหู้ ซุปมิโซะ สาหร่าย และรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนคุณภาพสูง เช่น ปลาทะเล ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 และวิตามินบี 12
10. นอนแต่หัวค่ำ และตื่นเช้าสม่ำเสมอ
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการควบคุมการทำงานของเซลล์และช่วยให้ร่างกายรักษาสมดุลได้เป็นอย่างดี จากรายงานวิจัยต่างประเทศมีการระบุว่า ผู้ที่มีอายุยืนยาวจะมีพฤติกรรมการนอนหลับที่มีคุณภาพ เช่น การเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันในแต่ละวัน ระยะเวลาการนอนไม่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ซึ่งการนอนน้อยกว่า 5–7 ชั่วโมงต่อคืน จะเกิดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง 12% ในขณะที่การนอนมากกว่า 8–9 ชั่วโมง/คืน อาจทำให้อายุขัยลดลงได้ถึง 38%
ช่วยให้อายุยืน เนื่องจากเทโลเมียร์ คือ ส่วนปลายสุดของโครโมโซม (Chromosome) โดยเป็นส่วนของลำดับเบส (Base) ที่ไม่มีความหมายในการแปลรหัสทางพันธุกรรม แต่หน้าที่สำคัญของเทโลเมียร์ที่อยู่บริเวณส่วนปลายของโครโมโซม คือ ป้องกันไม่ให้รหัสข้อมูลทางพันธุกรรม หรือ DNA ป้องกันริ้วรอยร่องลึก ผิวหนังเหี่ยวย่น ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยฟื้นฟูของร่างกาย ซึ่งวิธีดูแลเทโลเมียร์ให้หดสั้นช้าลงก็จะเป็นการปรับพฤติกรรมทั้ง 10 วิธีที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งการเพิ่มความยาวให้เทโลเมียร์ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง และอายุที่ยืนยาวยิ่งกว่าด้วย Celvita อาหารเสริมชะลอวัย ผสมสารสกัด Telolab ที่ช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะเสื่อมถอย ชะลอความชรา (Aging) ลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
