9 ปัญหาผู้สูงอายุที่พบบ่อย ลูกหลานต้องระวัง
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายและระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ย่อมเสื่อมสภาพลง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในวัยผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพตามมา ดังนั้น ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดควรหมั่นสังเกตสัญญาณจากอาการเจ็บป่วย หรือความผิดปกติของร่างกาย จะได้ดูแล รักษาได้ทันท่วงที ซึ่งส่วนมากปัญหาผู้สูงอายุที่พบบ่อย มีดังนี้
1. รับประทานอาหารได้น้อยลง
จากหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารได้น้อยลง ไม่ว่าจะมาจากปัญหาสุขภาพฟันและเหงือกไม่แข็งแรง ระบบการย่อยอาหารไม่ดี หรือผลข้างเคียงจากยาที่ทำให้เบื่ออาหาร จากปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ร่างกายของผู้สูงอายุขาดสารอาหาร ทางออกที่แพทย์หลายคนแนะนำคือ การเลือกรับประทานวิตามินและอาหารเสริมที่ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย. มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้รองรับ ในอาหารเสริมควรมีตัวช่วยในการลดความเสื่อมสภาพของร่างกาย ช่วยเพิ่มความยาวของเทโลเมียร์เพื่อชะลอวัยในระดับเซลล์ ซึ่งช่วยลดอาการเจ็บป่วยในวัยชรา ปกป้องไม่ให้ยีนสูญหาย ป้องกันการสึกหรอของร่างกาย อีกทั้งปัญหาเทโลเมียร์ที่สั้นลงจากปัจจัยต่าง ๆ ในชีวิต ล้วนมีส่วนสำคัญต่อกระบวนการชราภาพและการพัฒนาของโรค โดยการศึกษาในปี 2546 พบว่า เทโลเมียร์ที่สั้นลงมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับปัญหาการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากโรคหัวใจและโรคติดเชื้ออีกด้วย
2. การเสียการทรงตัว หกล้มบ่อย
ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะหกล้มและฟื้นฟูร่างกายช้า มีอาการบาดเจ็บรุนแรงกว่าคนในวัยอื่น เพราะประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสเสื่อมลง ทำให้เกิดปัญหาการทรงตัวไม่ดี ซึ่งมีสาเหตุหลักจากปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง สายตาพร่ามัวหน้ามืด ตัดสินใจช้า และผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ซึ่งลูกหลานหรือคนใกล้ชิดควรมีแนวทางในการดูแลและป้องกันการหกล้ม ได้แก่ การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง ติดตั้งราวจับตามทางเดิน ทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งผู้สูงอายุเองก็ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ควรรีบลุกขึ้นด้วยความรวดเร็วจะได้ไม่มีอาการหน้ามืดและวิงเวียนศีรษะ หากรู้สึกผิดปกติควรรีบบอกผู้ใกล้ชิด หรือโทรหาสายด่วนสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เบอร์ 1669 หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน
3. สูญเสียความทรงจำ หรือมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ
ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาเรื่องความจำถดถอย หรือหลงลืมในการทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เช่น หลงลืมเส้นทาง จำวัน เวลานัดผิดพลาด ลืมสิ่งของ ลืมชื่อคนใกล้ตัวนึกเรื่องที่จะพูดต่อไม่ได้ ตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ๆ อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวลง่าย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเซลล์สมองเสื่อม ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดต้องดูแลผู้สูงอายุที่มีอาการหลงลืมอย่างใจเย็น ไม่ควรตำหนิด้วยความรุนแรง แต่ควรพูดคุยและให้กำลังใจอยู่เสมอ โดยหาเวลาว่างทำกิจกรรมกระตุ้นสมองและพัฒนาด้านอารมณ์ อาจจะชวนเล่นเกมง่าย ๆ ถาม-ตอบปริศนาคำทาย ฝึกคิดเลข ดูซีรีส์ ฟังเพลง ร้องเพลง ซึ่งหากมีอาการหลงลืมที่ผิดปกติอย่างรุนแรงควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันการเป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) หรือโรคสมองเสื่อมอย่างถาวร
4. อาการนอนหลับไม่สนิท นอนหลับยาก
การนอนไม่หลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นปัญหาลำดับต้น ๆ ของผู้สูงวัย เนื่องจากความเสื่อมสภาพของร่างกาย โรคประจำตัว ความเจ็บปวด ความวิตกกังวล ความเครียด หรือยาที่รับประทานบางชนิด ล้วนส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรงจึงควรแก้ปัญหาให้ถูกจุด โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายในช่วงกลางวันแทนการนอน นั่งสมาธิหรือฟังเพลงเบา ๆ เลี่ยงการฟังเรื่องตื่นเต้นและน่ากลัว งดดื่มน้ำในปริมาณมากก่อนเข้านอน สร้างบรรยากาศห้องนอนให้อากาศถ่ายเทสะดวก มีกลิ่นหอม และไม่มีแสงรบกวน ซึ่งหากปฏิบัติได้ตามนี้ก็จะเป็นทางออกเรื่องนอนหลับไม่สนิทหรือตื่นขึ้นมากลางดึกได้ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วแต่ยังไม่สามารถนอนหลับได้ปกติควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
5. ตามองไม่ชัด หูได้ยินไม่ถนัด
เมื่อมีอายุมากขึ้น ระบบการมองเห็นและการได้ยินย่อมไม่ดีเหมือนวัยหนุ่มสาว เนื่องจากจอประสาทตาและประสาทหูชั้นในเสื่อมสภาพลงตามอายุ ซึ่งทั้ง 2 อาการนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ทำให้สื่อสารผิดพลาดจนไม่อยากสนทนากับผู้อื่น ส่งผลให้ขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม ดังนั้น ควรพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจตาและหูอย่างละเอียด จะได้วินิจฉัยโรคและหาวิธีดูแลได้ถูกต้องตรงกับโรคที่เป็น
6. โรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน หรือที่หลายคนขนานนามให้เป็น “ภัยเงียบของผู้สูงอายุ” มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง มักจะเกิดขึ้นโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนให้ระวังตัว แต่จะแสดงอาการเมื่อหกล้มหรือกระแทกของแข็ง แล้วกระดูกเปราะหรือหักได้ง่าย อาจส่งผลให้พิการหรือเดินไม่ได้ วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนคือ การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น ปลา ไข่ นม หรือการได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า รวมทั้งการกินอาหารเสริมเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก โดยอาหารเสริมสำหรับคนอายุ 60 ควรกินวิตามินอะไรดี ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรรู้เช่นกัน
7. กลั้นการขับถ่ายหรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้
วัยผู้สูงอายุจะพบปัญหาความเสื่อมสภาพของร่างกายในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ก็เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนมากพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนตัว หูรูดท่อปัสสาวะรัดตัวไม่ดี ความผิดปกติของฮอร์โมน มีโรคประจำตัว หรือยารักษาโรคบางชนิด รวมทั้งระบบประสาทและสมองผิดปกติจึงไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ ส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่ชอบเดินทางเป็นเวลานาน ๆ เกิดการแยกตัวออกจากสังคม ซึ่งสามารถหายได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรครวมทั้งการเข้ารับการรักษาให้ถูกวิธี
8. สุขภาพช่องปาก
ปัญหาเหงือกและฟันไม่แข็งแรงเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลกระทบโดยตรงในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ เพราะทำให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร เพราะเคี้ยวอาหารลำบาก ไม่ว่าจะเป็นฟันปลอมเสียดสีกับเหงือก เหงือกบวม ฟันล้ม ฟันหัก ฟันผุ หรือรากฟันอักเสบ ล้วนส่งผลให้ขาดอรรถรสในการรับประทาน ดังนั้น การแก้ปัญหาจากต้นเหตุคือ ดูแลช่องปากและฟันให้ถูกต้องด้วยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยแปรงสีฟันที่ขนแปรงนุ่มเป็นพิเศษ ใช้ไหมขัดฟัน และควรพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
9. ภาวะซึมเศร้า
อาการซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Late-life Depression) เป็นปัญหาที่พบมากสำหรับคนวัยนี้ จะเริ่มจากการแยกตัวจากสังคม ไม่อยากออกจากบ้านเพื่อพบปะผู้คน มีอารมณ์ขึ้น-ลงแปรปรวนง่าย รับประทานอาหารได้น้อยลง โดยสันนิษฐานได้จากหลายเหตุปัจจัย เช่น รู้สึกโดดเดี่ยว การเสียสมดุลทางอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน นอนไม่หลับ ซึ่งข้อสันนิษฐานทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดควรสังเกตพฤติกรรมและให้กำลังใจ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ จะได้ช่วยให้ท่านรู้สึกว่า มีคนรอบตัวคอยใส่ใจ เป็นห่วง และไม่ได้อยู่เพียงลำพัง หากมีภาวะซึมเศร้ารุนแรงควรพาไปพบจิตแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำและเข้ารับการรักษา
ปัญหาที่พบบ่อยในวัยผู้สูงอายุทั้ง 9 ข้อเหล่านี้ ผู้สูงอายุควรได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้างเป็นพิเศษ เพื่อช่วยแก้ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต นอกจากนี้ การยอมรับและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดี ส่วนผู้สูงอายุเองก็ควรผ่อนคลาย ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ก็จะช่วยให้มีความสุขมากขึ้น
