มณีแดง คืออะไร ต้านความชราได้จริงหรือเปล่า ?
มณีแดง เป็นสารต่อต้านความชราน้องใหม่ที่สร้างความฮือฮาและตื่นเต้นให้คนไทยและคนทั่วโลกไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากมณีแดงถูกค้นพบครั้งแรกด้วยนักวิจัยคนไทย โดยทีมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่นำโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์อภิวัฒน์ มุทิรางกูร หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นหัวหน้าทีมวิจัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ปัจจุบันมณีแดงยังคงเป็นเรื่องใหม่ในวงการอุตสาหกรรมความงาม ในการช่วยต่อต้านความแก่ชรา (ด้วยเทคนิคการดูแลตัวเองง่าย ๆ ช่วยชะลอวัยได้ 6.8 ปี) และเป็นยาอายุวัฒนาที่คนทั่วโลกต่างจับตามองถึงความมหัศจรรย์ของมณีแดงว่าจะช่วยเพิ่มอายุไขให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้นได้จริงหรือไม่
จุดเริ่มต้นมณีแดง
การค้นพบมณีแดงของ ศ.นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ได้ถูกค้นพบจากผลงานการวิจัยวิทยาศาสตร์พันธุกรรมในโครงการ “การพัฒนานวัตกรรมใหม่ในทางการแพทย์ที่มีมูลค่าและคุณค่าสูง : ฟื้นฟูภาพดีเอ็นเอโดยโมเลกุลที่ทำให้จีโนมเสถียร และการตรวจกรองมะเร็งจากโปรตีนหรืออาร์เอ็นเอในเม็ดเลือดขาว”
โดยเริ่มต้นมาจากการศึกษาโครงสร้างของดีเอ็นเอ ซึ่งพบว่าใน DNA ของมนุษย์จะมีรอยแยก (Youth-DNA-gap) อยู่ในบริเวณที่มีดีเอ็นเอเมทิลเลชัน (DNA Methylation) จึงเป็นที่มาของการค้นพบมณีแดง โดยพบว่ามณีแดงช่วยเสริมการแตกแยกของ DNA และกำจัดรอยโรคของ DNA ที่มีรอยแยก (Youth DNA Gap) มีบทบาทในการช่วยปกป้องดีเอ็นเอและป้องกันความแก่ชราในยีนส์ จึงเป็นที่มาของมณีแดง ยาต้านความชรา โดยใช้เวลาค้นคว้าวิจัยมานานเกือบ 30 ปี
ตามธรรมชาติลักษณะของดีเอ็นเอจะเป็นสายพอลิเมอร์ 2 เส้นจับกันเป็นเกลียวคู่ ขณะทำงานดีเอ็นเอเกลียวคู่นี้จะต้องแยกออกจากกันเป็นสายเดี่ยว ทำให้เกิดแรงบิดและถูกทำลายได้ง่าย ซึ่งการที่ดีเอ็นเอถูกทำลายจากแรงบิดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เซลล์เสื่อมสภาพหรือมีความแก่ลง แต่รอยแยกของดีเอ็นเอที่ได้ทำการค้นพบใหม่นี้จะเข้ามาช่วยลดแรงบิดลง และปกป้องไม่ให้ดีเอ็นเอถูกทำลาย คล้ายกับรอยแยกรางรถไฟที่ช่วยปกป้องไม่ให้รางรถไฟผิดรูปจากความร้อน โดยในเซลล์ที่ชราจะมีรอยแยกของดีเอ็นเอน้อยกว่าเซลล์หนุ่มสาว ดีเอ็นเอของคนแก่จึงถูกทำลายมากกว่า
มณีแดง คืออะไร
หลายคนพอได้ยินคำว่า “มณีแดง” อาจคิดถึง “ทับทิม” ที่ใช้ทำเครื่องประดับกันใช่ไหมล่ะ !! แต่บอกเลยว่ามณีแดงที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ไม่ใช้สารสกัดจากพลอยทับทิมที่ใช้ทำแหวนหรือเครื่องประดับ และไม่ใช่ผลไม้สีแดงแต่อย่างใด ซึ่งมณีแดงคืออะไรกันแน่ เรามาทำความรู้จักกันเลย
- มณีแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecules (RED-GEMs) ซึ่งมีคุณสมบัติในการย้อนวัยที่ดีเอ็นเอ ช่วยเสริมการแตกแยกของ DNA และกำจัดรอยโรคของ DNA
- มณีแดง เป็นโปรตีนที่ช่วยสร้างและปกป้องรอยแยกดีเอ็นเอ ทำให้ดีเอ็นเอมีความเสถียรขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น แต่เมื่ออายุมากขึ้นกลไกนี้จะทำงานได้ลดลง จึงเกิดการวิจัยในการหาทางกลับกลไกดังกล่าว กระทั่งมีการออกแบบสารมณีแดงโดยจำลองจากธรรมชาติ
มณีแดง มีศักยภาพใช้ทำอะไรได้บ้าง
จากการศึกษางานวิจัยของ ศ.นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ได้มีการระบุในรายงานวิจัยถึงศักยภาพของมณีแดงไว้ ดังนี้
- รักษาโรคที่มีกลไกมาจาก เซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะเสื่อมสภาพที่พบในคนชราหรือชราเร็วจาก โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน โดยในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ หัวใจวาย ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดแข็ง เสื่อมสมรรถภาพในอวัยวะต่าง ๆ แผล เป็นต้น
- รักษาโรคที่อวัยวะเสื่อมสภาพจากการท้าลายจากสิ่งแวดล้อม เช่น ไฟไหม้ น้้าร้อนลวก ปอดพังจากบุหรี่ ตับสมองพังจากสุรา ไตพังจากสารพิษ เป็นต้น
- เสริมสมรรถภาพของคนชราให้มีศักยภาพทางกาย รูปร่างหน้าตา เท่ากับคนหนุ่มสาว
- อาจใช้ป้องกันและรักษามะเร็งได้ (โดยการแก้ไขความชราของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่ท้าลายเซลล์มะเร็ง และป้องกันมะเร็งจากการลดโอกาสเกิดการแตกท้าลายของ DNA อันนำไปสู่การกลายพันธุ์ของยีน
- ใช้ชะลอการเสื่อมของร่างกายในเด็กที่มีความผิดปกติของยีนซ่อมแซมดีเอ็นเอ
- ใช้เสริมความงาม
- ใช้เพิ่มผลิตผลทางการเกษตร
- ใช้ป้องกันความพิการแต่กำเนิด
นอกจากนี้ ในการทดลองยังพบด้วยว่าโรคที่พบในเซลล์ชรา เช่น โปรตีนที่พบในเซลล์ชรา (senescence associated proteins) ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) พังผืดในตับ (liver fibrosis) ลดลง ในขณะที่รอยแยกดีเอ็นเอ (Youth-DNA-GAP) เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าเซลล์มีความอ่อนวัยขึ้น นอกจากนี้ การทดลองมณีแดงกับหนูที่เป็นแผลไฟไหม้และหนูที่มีแผลเบาหวาน ก็ได้ผลน่าพอใจ คือ แผลสมานเร็ว และทำให้เนื้อหมูนุ่มแน่นขึ้น
มณีแดงต้านความชราได้จริงหรือ ?
หลายคนที่ศึกษามณีแดง อาจกำลังสงสัยว่ามณีแดงต้านความชราได้จริงไหม ? ซึ่งปัจจุบันมณีแดงยังไม่มีการทดลองในมนุษย์ แต่จะมีการวิจัยโมเลกุลมณีแดงกับหนูทดลอง ได้มีการทดลองทั้งหมด 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
- หนูทดลองอายุ 7 เดือน
- หนูทดลองอายุ 30 เดือน
- หนูทดลองอายุ 30 เดือน ที่ทำการใช้โมเลกุลมณีแดง
- ในการทดลองได้มีการย้อมเซลล์ชราให้กลายเป็นสีน้ำเงิน จากรูปจะเห็นได้ว่า
– ตับ หนูแรท 7 เดือน จะไม่ค่อยมีเซลล์ชรา
– ตับ หนูแรท 30 เดือน จะมีเซลล์ชราจำนวนมาก
– ตับ หนูแรท 30 เดือน ที่ได้รับมณีแดง (RED-GEMs : REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecules) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน เซลล์ชราในตับหนูทดลองมีจำนวนลดลง
- จากผลการวิจัยทดลองหนูแรททั้ง 3 กลุ่ม พบว่ากลุ่มที่ 3 หนูแรท 30 เดือน ที่ได้รับการฉีดมณีแดงเข้าสู่ร่างกาย พบว่า เซลล์ชราในตับหนูทดลองมีจำนวนลดลง จึงนำมาสู่การตั้งข้อสมมุติฐานว่าในอนาคตหากใช้มณีแดงทดลองในมนุษย์แล้วจะได้ผลการทดลองเช่นเดียวกับหนูแรทกลุ่มที่ 3 มณีแดงก็จะเป็นสารสกัดที่ช่วยต้านความชราได้ แต่เนื่องจากปัจจุบันมณีแดงยังไม่ได้มีการทดลองในมนุษย์ ทำให้เราไม่ทราบผลแน่นอนที่จะเกิดขึ้นในมนุษย์ แต่คาดว่าในอนาคตน่าจะมีโอกาสได้เห็นผลการทดลองในมมนุษย์เกิดขึ้น
มณีแดง ได้รับการอนุมัติให้ทดลองในมนุษย์หรือยัง ?
จากข้อมูลล่าสุดวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ทาง รพ.จุฬาฯ ได้ออกมาชี้แจงกรณีโมเลกุลมณีแดง (RED-GEMs) โดยระบุข้อความว่า
“โมเลกุลมณีแดง (RED-GEMs) เป็นสารที่มีการพัฒนาและนำมาศึกษาโดยคณะผู้วิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้มีการนำมาทดลองในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง และมีข้อมูลที่แสดงว่าอาจสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าที่ได้จากการวัด ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของอายุเซลล์ หรือความชราได้ ทางผู้วิจัยกำลังอยู่ในขั้นตอนการเสนอขอให้คณะกรรมการจริยธรรมงานวิจัยในมนุษย์พิจารณา เพื่อนำสาร RED-GEMs มาศึกษาในมนุษย์ แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้สามารถใช้สารนี้ในการศึกษาในมนุษย์ เนื่องจากยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย”
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าปัจจุบันนี้ ได้มีการฉีดมณีแดงในหนูทดลองจนประสบความสำเร็จ ซึ่งพบว่ามณีแดงสามารถต่อต้านความชราในหนูทดลองได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้สามารถใช้สารนี้ในการศึกษาในมนุษย์ เนื่องจากยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งทางผลิตภัณฑ์ Celvita คาดว่าในอนาคตเราคงได้รับข่าวดีอีกครั้งในการนำมณีแดงมาช่วยชะลอวัยชราเหมือนดั่งผลการทดลองในหนูแรท ยังไงก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทีมนักวิจัยทุกท่านครับผม
